ประเภทของแบตเตอรี่รถยนต์ในปัจจุบัน มีทั้งหมด 6 ชนิด
แบตเตอรี่รถยนต์ชนิดน้ำ CONVENTIONAL
ส่วนประกอบหลักภายในแบตเตอรี่รถยนต์ชนิดนี้ประกอบด้วยตะกั่วผสมพลวงต่ำทั้งแผ่นธาตุบวกและแผ่นธาตุลบ ทำให้แบตเตอรี่รถยนต์ชนิดนี้มีความทนทานสูง รองรับการดึงไฟได้ดี แบตเตอรี่รถยนต์ชนิดนี้จึงเหมาะกับรถยนต์และรถบรรทุก ทุกประเภท ที่ต้องการใช้งานหนัก วิ่งระยะทางไกลๆ หรือติดเครื่องเป็นเวลานานๆทั้งวัน ทุกๆวัน รวมถึงรถยนต์ที่ติดตั้งระบบแก๊ส LPG , NGV รถยนต์หรือรถบรรทุกที่มีการติดตั้งระบบแก๊ส จะมีความร้อนของเครื่องยนต์สูงมาก ทำให้แบตเตอรี่รถยนต์ในรถยนต์ประเภทนี้ได้รับความร้อนที่สูงตลอดเวลา ยิ่งการขับรถยนต์ในเมืองเวลากลางวัน ขณะรถติดจะมีความร้อนจากรถรอบข้าง จากแสงแดด จากพื้นถนน และเครื่องยนต์ ส่งผลให้แบตเตอรี่รถยนต์คันดังกล่าวรับภาระสูงมาก จึงควรหมั่นดูแลน้ำกลั่นสม่ำเสมอ ทุกๆ 2-3 พันกิโลเมตร
แบตเตอรี่รถยนต์ชนิดกึ่งแห้ง (MF) Maintenance Free
ส่วนประกอบหลักภายในแบตเตอรี่รถยนต์ชนิดนี้ประกอบด้วยตะกั่วผสมแคลเซียมทั้งแผ่นธาตุบวกและแผ่นธาตุลบ ทำให้แบตเตอรี่รถยนต์ชนิดนี้มีค่า CCA ( Cold Cranking Amp ) หรือค่ากำลังการสตาร์ทเครื่องยนต์ที่สูงกว่าแบตเตอรี่รถยนต์ชนิดน้ำ และแบตเตอรี่รถยนต์ชนิดไฮบริด ไม่ต้องดูแลน้ำกลั่นบ่อย ค่าเฉลี่ยในการดูแลน้ำกลั่นประมาณ 1-2 หมื่นกิโลเมตร/ปี แบตเตอรี่รถยนต์ชนิดนี้ไม่เหมาะกับรถเชิงพาณิชย์ แบตเตอรี่รถยนต์ชนิดกึ่งแห้งไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับงานหนัก จึงเหมาะกับพฤติกรรมของคนที่ไม่ค่อยเดินทางไปไหนไกล วันนึงขับรถประมาณ 50 – 90 กิโลเมตร และคนทำงานประจำ เช่น เช้าขับไปทำงาน เย็นขับรถกลับบ้าน เดินทางออกต่างจังหวัดบ้างเป็นครั้งคราว
แบตเตอรี่รถยนต์ชนิดไฮบริด (Hybrid)
เป็นนวัตกรรมที่ดึงเอาข้อดีของแบตเตอรี่รถยนต์ชนิดน้ำและข้อดีของแบตเตอรี่รถยนต์ชนิดกึ่งแห้งมารวมไว้ในแบตเตอรี่รถยนต์ชนิดไฮบริด ส่วนประกอบหลักภายในแบตเตอรี่รถยนต์ชนิดนี้ประกอบด้วย ตะกั่วผสมพลวงต่ำที่แผ่นธาตุบวก ซึ่งมีความสามารถในการจ่ายกระแสสูง และมีความทนทาน และตะกั่วผสมแคลเซียมที่แผ่นธาตุลบ สามารถช่วยลดอุณหภูมิความร้อนในแบตเตอรี่รถยนต์ได้เป็นอย่างดี เมื่ออุณหภูมิลดลงการเดือดของน้ำภายในก็น้อยลง การระเหยของน้ำก็ช้าลงไปด้วย แบตเตอรี่รถยนต์ชนิดไฮบริดจึงมีความทนทานสูงและกินน้ำกลั่นน้อย ดูแลน้ำกลั่นประมาณ 5 พัน ถึง 1 หมื่น กิโลเมตรขึ้นอยู่ที่ขนาดของแบตเตอรี่รถยนต์แต่ละรุ่น และพฤติกรรมการใช้งาน
แบตเตอรี่รถยนต์ชนิดแห้ง (SMF) Sealed Maintenance Free
ส่วนประกอบหลักภายในแบตเตอรี่รถยนต์ชนิดนี้ประกอบด้วยตะกั่วผสมแคลเซียมและแร่เงินทั้งแผ่นธาตุบวกและแผ่นธาตุลบ ทำให้แบตเตอรี่รถยนต์ชนิดนี้มีกำลังไฟที่สูงและสามารถเก็บประจุไฟเมื่ออยู่นอกรถในอุณหภูมิปกติได้นานกว่า 6 เดือน แบตเตอรี่รถยนต์ชนิดนี้ไม่ต้องดูแลน้ำกลั่นตลอดอายุการใช้งาน หรือประมาณ 2 ปีเพราะฝาที่ปิดสนิทของแบตเตอรี่รถยนต์แบบแห้งนี้ได้ถูกสร้างให้เป็นเขาวงกต เพื่อให้ไอระเหยของน้ำภายในแบตเตอรี่เกาะด้านบนฝาแล้วรวมตัวกลายเป็นหยดน้ำ หยดกลับลงไปเหมือนเดิมจึงเหมาะกับพฤติกรรมของคนที่ไม่ค่อยได้สตาร์ทรถทุกวัน และไม่เดินทางไปไหนไกล วันนึงขับรถประมาณ 50 – 90 กิโลเมตร และคนทำงานประจำ เช่น เช้าขับไปทำงาน เย็นขับรถกลับบ้าน เดินทางออกต่างจังหวัดบ้างเป็นครั้งคราว
แบตเตอรี่รถยนต์ชนิด EFB (Enhanced Flooded Battery)
เป็นนวัตกรรมใหม่ของแบตเตอรี่รถยนต์ของประเทศญี่ปุ่นที่มีระบบ ISS (Iding Stop System) ส่วนประกอบหลักภายในแบตเตอรี่รถยนต์ EFB คือตะกั่วผสมแคลเซียมและแร่เงินทั้งแผ่นธาตุบวกและแผ่นธาตุลบคล้ายแบตเตอรี่รถยนต์ชนิดแห้งแต่เพิ่มความหนาของแผ่นธาตุเพื่อรองรับการจ่ายไฟต่อเนื่อง และรองรับการชาร์จไฟกลับเข้าแบตเตอรี่ได้เร็วมากยิ่งขึ้น และยังมีองค์ประกอบอื่นอย่างพวกซองกั้น และเคมีคอล ที่ผู้ผลิตแต่ละรายจะผลิตออกมาแตกต่างกัน แบตเตอรี่รถยนต์ชนิดนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับระบบของรถยนต์ที่มีระบบ ISS คือในขณะที่เหยียบเบรกรถจอดสนิทขณะติดไฟแดงเครื่องยนต์ดับ ไดชาร์จหยุดทำงาน แต่ระบบไฟทุกอย่างในรถยังทำงานอยู่โดยการดึงพลังงานจากแบตเตอรี่รถยนต์มาใช้ในขณะเครื่องยนต์ดับ และพอเหยียบคันเร่งเครื่องยนต์ก็จะติด ไดชาร์จจะกลับมาทำงานและรีบชาร์จไฟ กลับเข้าไปในแบตเตอรี่รถยนต์เพื่อรองรับการจ่ายไฟอีกครั้งเมื่อเหยียบเบรกรถจอดสนิท
แบตเตอรี่รถยนต์ชนิด AGM (Absorbent Glass Mat Battery)
เป็นนวัตกรรมใหม่ชั้นสูงของแบตเตอรี่รถยนต์ทางฝั่งยุโรปเป็นหลัก โดยใช้แผ่นใยแก้วชนิดดูดซับน้ำกรดในแบตเตอรี่ทั้งหมดเอาไว้ จึงทำให้วงจรมีความเสถียรสูง แบตเตอรี่รถยนต์ชนิด AGM จึงเหมาะกับรถยนต์ที่มีระบบ Stop Start System , ไดชาร์จอัจฉริยะ (AMS) , และ Regenerative Braking System ซึ่งทั้ง 3 ระบบที่กล่าวมานี้ต้องการพลังงานจากแบตเตอรี่รถยนต์มากเลยทีเดียว จึงจำเป็นต้องใช้แบตเตอรี่รถยนต์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ